เมนู

เนื้อข้างในนั้น เป็นชื่อของอายตนะภายใน 6 ส่วนหนังข้างนอกนั้น เป็นชื่อ
ของอายตนะภายนอก 6 เนื้อล่ำในระหว่าง เอ็นในระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง
นั้นเป็นชื่อของนันทิราคะ มีดแล่โคอันคมนั้น เป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ
ซึ่งใช้เถือ แล่ คว้านกิเลสในระหว่าง สัญโญชน์ในระหว่างเครื่องผูกในระหว่าง
ได้.

ว่าด้วยโพชฌงค์ 7


[778] ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย โพชฌงค์ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้
มากแล้ว เป็นเหตุ ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่
เหล่านี้ มี 7 อย่างแล 7 อย่างเป็นไฉน ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย คือ ภิกษุ
ในพระธรรมวินัยนี้.
(1) ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัย
นิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย
(2) ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์...
(3) ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์...
(4) ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์...
(5) ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์...
(6) ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์...
(7) ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ
อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย เหล่านั้นแล
โพชฌงค์ 7 ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นเหตุ ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะ
รู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่.

[779] ครั้นท่านพระนันทกะกล่าวสอนภิกษุณีเหล่านั้นด้วยโอวาทนี้
แล้ว จึงส่งไปด้วยคำว่า ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจงไปเถิด สมควร
แก่เวลาแล้ว ลำดับนั้น ภิกษุณีเหล่านั้น ยินดีอนุโมทนาภาษิตของท่านพระ-
นันทกะแล้ว ลุกจากอาสนะ อภิวาทท่านพระนันทกะ กระทำประทักษิณ
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุณีทั้งหลาย พวกเธอจงไปเถิด สมควรแก่เวลาแล้ว ต่อนั้น
ภิกษุณีเหล่านั้น ได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้ว
หลีกไป.
[780] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อภิกษุณีเหล่านั้นหลีก
ไปแล้วไม่นาน ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทุกวัน
อุโบสถ 14 ค่ำนั้น ชนเป็นอันมากไม่มีความเคลือบแคลง หรือสงสัยว่า
ดวงจันทร์พร่องหรือเต็มหนอ แต่แท้ที่จริง ดวงจันทร์ก็ยังพร่องอยู่ที่เดียว
ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ชื่นชมธรรมเทศนา
ของนันทกะ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีความดำริบริบูรณ์เลย ฉันนั้นเหมือนกันแล ใน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระนันทกะว่า ดูก่อนนันทกะ
ถ้าเช่นนั้น วันพรุ่งนี้ เธอก็พึงกล่าวสอนภิกษุณีเหล่านั้นด้วยโอวาทนั้น เหมือนกัน
ท่านพระนันทกะทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.
[781] ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทกะ พอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว ถึง
เวลาเช้า จึงนุ่งสบงทรงบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้น
กลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว เข้าไปยังวิหารราชการามแต่
รูปเดียว ภิกษุณีเหล่านั้นได้เห็นท่านพระนันทกะเดินมาแต่ไกล จึงพากันแต่ง
ตั้งอาสนะและตั้งน้ำล้างเท้าไว้ ท่านพระนันทกะนั่งบนอาสนะที่แต่งตั้งไว้แล้ว

จึงล้างเท้า แม้ภิกษุณีเหล่านั้นก็อภิวาทท่านพระนันทกะแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง.
[782] พอนึ่งเรียบร้อยแล้ว ท่านพระนันทกะได้กล่าวดังนี้ว่า
ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย จักต้องมีข้อสอบถามกันแล ในข้อสอบถามนั้น
น้องหญิงทั้งหลายรู้อยู่ พึงตอบว่ารู้ ไม่รู้อยู่ ก็พึงตอบว่าไม่รู้ หรือน้องหญิง
รูปใด มีความเคลือบแคลงสงสัย น้องหญิงรูปนั้น พึงทวนถามข้าพเจ้าในเรื่อง
นั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อนี้เป็นอย่างไร ข้อนี้มีเนื้อความอย่างไรเถิด.
ภิกษุณีเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันย่อมพอใจ
ยินดีต่อพระผู้เป็นเจ้านันทกะ ด้วยเหตุที่พระผู้เป็นเจ้านันทกะปวารณาแก่พวก
ดิฉัน เช่นนี้.

ว่าด้วยอายตนะภายใน 6


[783] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
โสตเที่ยงหรือไม่เที่ยง.